“รักแรกพบ”

ค่ายเยาวชน...รักษ์พงไพร

“รักแรกพบ”

February 25, 2019 เรื่องราวชาวค่าย 0

 

หากพูดถึงความประทับใจ เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากที่สุด เพราะเป็นเรื่องราวที่กลั่นกรองมาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ระยะเวลา 3 วัน ที่ได้มีโอกาสติดตามเด็กน้อยที่ร่วมเข้าค่าย “เยาวชน..รักษ์พงไพร” เป็นค่ายที่จัดขึ้นปีที่ 5 แล้วก็จริง แต่สิ่งที่เหมือนกันระหว่างฉันกับเด็กน้อย คือ ที่นี่และค่ายนี้ คือครั้งแรกของเรา ที่แฝงไปด้วยเรื่องราวความน่ารัก เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวฉันคงที่ไม่มีวันลืม…

“คงต้องถึงเวลา ที่เราต้องมาช่วยกัน ป่าโดนทำร้ายทุกวัน ตัดฟันจนป่าวอดวาย เยาวชนอย่างเรา ยังรวมพลังหัวใจ เรียนรู้เรื่องราวความเป็นไป เพื่อนำไปใช้ ปกป้องป่า”

เสียง “เพลงค่าย” ดังกึกก้องด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกให้รู้ว่า “ค่ายเยาวชน รักษ์พงไพร เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี 2562” ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เป็นค่ายเยาวชนระดับประเทศที่เปรียบเสมือนการปลูกป่าในใจเด็ก ๆ ให้รู้คุณค่าของป่าไม้และสัตว์ป่า

ครูตัวเล็กๆ ที่มาจากโรงเรียนขนาดเล็กที่สุด กับผู้ใหญ่ที่มองเห็นโอกาส ทำให้ฉันได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ โอกาสที่ได้เห็น พบเจอและร่วมงานกับผู้ใหญ่ระดับสูงที่น่ารักและใจดี ผู้ใหญ่ที่คอยส่งสายตาด้วยความเอ็นดูและคอยให้กำลังใจในการทำงาน  กับหน้าที่อันหนักอึ้งสำหรับฉันเพราะบทบาทที่มาในนามคณะทำงาน ทำให้ฉันยิ่งอึดอัดและกดดันตัวเอง จนทำให้ฉันยิ่งต้องทำหน้าที่ที่ฉันได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดและต้องดีกว่าที่ผ่านมา

หน้าที่ในครั้งนี้คือการติดตามเยาวชนที่น่ารักเพื่อสอบถามและสัมภาษณ์ความรู้สึกของแต่ละกิจกรรมที่ “ครูป่าไม้” ได้จัดขึ้น โดยทำอย่างไรให้บทสัมภาษณ์ที่ออกมาให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดและได้เนื้อหาที่ชัดเจนที่สุด

“พี่ตั๋น” พี่ตากล้องคนเก่ง คือคนที่ฉันต้องทำงานด้วยในวันนี้ “ครูละครับ ครูละสัมภาษณ์คำถามแนวนี้นะ” “ครูละครับ ครูละครับ เราคงต้องหาวิธีที่ทำให้เข้าถึงตัวน้องและให้น้องตอบคำถามให้เป็นธรรมชาติกว่านี้” เป็นความน่ารักที่หันไปมองพี่ตั๋นทีไร พี่ตั๋นจะพยักหน้าตอบกลับมาว่า เยี่ยมบ้าง ดีบ้าง ถือเป็นพี่ตากล้องที่น่ารักที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า ความอดทนและการชื่นชม ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้งานมีการพัฒนาที่ดีขึ้นกว่าเดิม

 

“…ครูละครับ ครูละครับ…” เป็นความน่ารักที่หันไปมอง “พี่ตั๋น” ทีไร พี่ตั๋นจะพยักหน้าตอบกลับมาว่า เยี่ยมบ้าง ดีบ้าง ถือเป็นพี่ตากล้องที่น่ารักที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้…

วันแรกผ่านไปกับการกลับมา AAR กับตัวเองว่าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในวันนี้ยังทำไม่ดี จึงมานั่งหาแนวทางการทำงานที่จะเข้าหาและติดตามเด็กๆ อย่างไรให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด จนเผลอหลับไปและตื่นมาเจอะเจอกับน้องคนแรกในวันที่สองของค่าย “เยาวชน..รักษ์พงไพร”

มีสายตาคู่หนึ่งมองมาและยิ้มด้วยความเขินอายเข้ามาถามว่า “พี่เป็นนักข่าวหรือคะ?” “เปล่าค่ะพี่เป็นนางฟ้า” คำตอบที่ฉันตอบกลับไป กลายเป็นบทสนทนาที่ยาวเหยียดและกลายเป็นความน่ารักที่เกิดขึ้นภายในค่ายที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับ เด็กหญิงโต๊ะโตะจัง ตัวจริง ทั้งบุคลิก ความน่ารัก สายตา การตั้งคำถาม พฤติกรรมที่ไม่เหมือนใคร

ในขณะที่เพื่อนๆ คนอื่นๆ จดบันทึกจากพี่ๆ วิทยากรที่กำลังเล่าเรื่องหญ้าแฝก เด็กหญิงโต๊ะโตะจังหรือน้องน้ำหวาน กลับหันหน้าเข้าหาป้ายเนื้อหาและจดบันทึกในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบและสนใจพร้อมหันมายิ้มร่าด้วยความน่ารัก แอบได้ยินคำพูดที่พึมพำกับตัวเองว่า “ฉันจะไปปลูกหญ้าแฝกที่ไหนดีนะ?”  เป็นความน่ารัก ความไร้เดียงสาและความบริสุทธ์ิจากน้องน้ำหวาน ซึ่งทำให้ฉันเริ่มรัก อยากทำหน้าที่ที่ฉันได้รับมอบหมายให้ดี และเริ่มสนุกกับมันแล้วสิ

 

 

แอบได้ยินคำพูดที่พึมพำกับตัวเองว่า “ฉันจะไปปลูกหญ้าแฝกที่ไหนดีนะ?”  เป็นความน่ารัก ความไร้เดียงสาและความบริสุทธ์ิจากน้องน้ำหวาน ซึ่งทำให้ฉันเริ่มรัก อยากทำหน้าที่ที่ฉันได้รับมอบหมายให้ดี และเริ่มสนุกกับมันแล้วสิ

 

 

ไม่ใช่แค่น้องน้ำหวาน แต่มันเริ่มดีขึ้น เริ่มมีข้อคำถามจากเด็กๆ คนอื่นๆ เริ่มใกล้ชิด เริ่มรัก เริ่มรู้สึกดีและไม่คาดคิดว่าจะเกิดกับน้องอีกคน “จูม่ง” เด็กที่เรียกตัวเองว่าเป็นรุ่นพื่ เพียงเพราะเข้าร่วมค่ายเยาวชนฯ เป็นครั้งสอง ทุกอย่างจูม่งรู้หมดว่าแต่ละกิจกรรมนี้ให้ทำอย่างไร? แล้วได้อะไร? คอยบอกรุ่นน้อง ตอบคำถามเพื่อให้น้องๆ ยอมรับเขาว่า เขาคือรุ่นพี่

จูม่งเข้าหาฉันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร เป็นนักเรียนในค่ายที่ฉันบอกพี่ตั๋นว่าจะไม่เข้าไปสัมภาษณ์เด็ดขาด เพราะกลัวว่าความไม่น่ารักในคำพูดของจูม่งจะหลุดออกมา จูม่งเป็นเด็กที่ไม่แคร์ใคร ตอบคำถามตรงไปตรงมาเหมือนผู้ใหญ่ เป็นเด็กที่รูปร่างและลักษณะนิสัย ซึ่งหากให้เห็นภาพมากขึ้น คล้ายกับเด็กชายแจ็ค ในภาพยนตร์แฟนฉัน แต่เรื่องราวที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้ ทำให้มุมมองของฉันที่มองจูม่งเปลี่ยนไป…

เด็กชายจูม่งแกล้งเดินสะดุดเท้าและหันมามองหน้าฉัน พร้อมกับพูดว่า ขอโทษ!! ด้วยเสียงห้วนๆ ฉันเดินเข้าไปและบอกให้กล่าวขอโทษอีกที จูม่งเล่นตัวสักพักใหญ่ๆ และฝืนใจบอกว่า “ขอโทษ…ครับ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เด็กชายจูม่งจึงเป็นเด็กน้อยที่น่าสนใจทันทีกับพฤติกรรมที่แสดงออกมา ซึ่งฉันแอบถามประวัติความเป็นจูม่งจากคุณครูในโรงเรียนที่น้องเรียนอยู่ จึงรู้และเข้าใจในสิ่งที่เด็กน้อยเป็น

ฉันแอบเข้าไปเล่นกับจูม่งอีกครั้งหลังจากที่รับประทานอาหารเที่ยงเสร็จ โดยเล่นเกมอะไรก็ได้ที่ทำให้จูม่งชนะเพื่อที่เขาจะได้ยอมรับ ทั้งเกมเป่า ยิ้ง ฉุบ และเกมจับมือวัดพลัง เพราะฉันเชื่อเสมอว่า เมื่อจับมือ จะทำให้ทุกอย่างผ่อนคลายขึ้น เป็นช่องทางการสื่อสารที่ดี และที่สำคัญเป็นการสร้างความอบอุ่น เล่นสักพักใหญ่ จูม่งเริ่มสบตา ตอบคำถาม บอกเล่าความเป็นตัวเอง และเริ่มเข้าหาฉันด้วยการตั้งคำถามมากมาย

เขาสนใจสัตว์สงวนที่เขาได้รับความรู้จากครูป่าไม้มาก มาท่องให้ฉันฟัง ทีละตัว ทีละตัว… จนวันที่สามของการเข้าค่าย ฉันยังคุยกับจูม่งด้วยความสนุกสนานกับชีวิตส่วนตัวที่เขาเล่าด้วยความสุข เช่น “ครูเชื่อไหมว่าผมไม่ชอบกินหมูนะ แต่ทำไมผมถึงอ้วน อ้อ ผมว่าผมน่ะเหมือนแม่เพราะพ่อผมโครตผอมเลย” หลังจากพูดจบก็แอบยิ้มและหันมาบอกว่าฉันว่า “ครูครับดูนี่นะ”

เขาเริ่มเขียนพยัญชนะแต่ละตัวบนเก้าอี้ใกล้ที่ฉันนั่งอยู่ ให้ฉันอ่านโดย เขียนตัว ผ.ผึ้ง  ม.ม้า  ร.เรือ ไม้หันอากาศ  ก.ไก่ … จูม่งเริ่มเคอะเขินและเขียนต่อว่า  ครู  “ครูคนไหนคะ?” ฉันถามต่อ “ครูชื่ออะไรล่ะครับ?” จูม่งเขียนชื่อฉันบนเก้าอี้ด้วยนิ้วอวบๆ ของเขาว่า “ครูละ” ตอนนั้นฉันยิ้มกว้าง ความรู้สึกเหมือนถูกรางวัลที่ 1 เพราะเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน ว่าเด็กน้อยคนนี้จะน่ารักและน่าเอ็นดู จึงรีบตอบกลับจูม่งว่า “ครูละก็รักหนูนะ^^”

 

 

สิ่งเดียวที่เป็นความสุขของคนเป็นครูแบบฉัน ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่หน้าตาในสังคม แต่ความสุขเดียวตั้งแต่ฉันเป็นครู คือนักเรียน ที่ฉันเรียกพวกเขาว่า หัวใจของฉัน ฉันไม่คาดฝันว่าหน้าที่ที่ฉันได้รับมอบหมายในครั้งนี้ ทำให้ฉันได้รับสิ่งนี้กลับมา หน้าที่ที่ฉันกังวลและเครียดกับสิ่งที่ฉันกลัวว่าฉันจะทำได้ไหม? จะบรรลุตามที่ทีมงานวาดฝันหรือเปล่า?

สำหรับฉัน ฉันทุ่มเทและตั้งใจเพื่อให้งานที่ฉันได้รับมอบหมายบรรลุผลสำเร็จที่สุด และเชื่อว่า พี่ๆ ทีมงานคงมองเห็นความน่ารักของเด็กๆ ในค่ายฯครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น สาวน้อยโต๊ะโตะจังหรือน้องน้ำหวาน จูม่งและเด็กน้อยคนอื่นๆ ผ่านเลนส์ ผ่านกล้องที่พี่ๆ ทุกคนได้ถ่ายทำ และคงเป็นเรื่องเล่าที่พี่ๆ ทุกคนก็คงไม่มีวันลืม

 

 

สิ่งเดียวที่เป็นความสุขของคนเป็นครูแบบฉัน ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่หน้าตาในสังคม แต่ความสุขเดียวตั้งแต่ฉันเป็นครู คือนักเรียน ที่ฉันเรียกพวกเขาว่า หัวใจของฉัน

 

 

ที่นี่ “ค่ายเยาวชน..รักษ์พงไพร” นอกจากเป็นค่ายที่เปลี่ยนชีวิตฉัน จากที่ไม่เคยรดน้ำต้นไม้ ไม่เคยปลูกต้นไม้ เริ่มรักและเห็นคุณค่าโดยการหันมาเริ่มปลูกผัก ชอบดูการค่อยๆ เติบโตจากเล็กๆ จนเติบใหญ่  ที่นี่ถือเป็น รักแรกพบของฉัน ฉันได้พบกับผู้ใหญ่ที่น่ารัก ฉันได้พบกับทีมงานที่น่ารัก ฉันได้พบกับเพื่อนๆ ที่น่ารักและที่สำคัญที่สุด ฉันได้เจอะเจอกับเด็กๆ ที่น่ารัก

เป็นค่ายที่สอนฉันในการทำงานร่วมกับผู้อื่น การรับฟัง การยอมรับ การเสนอความคิดเห็น การเคารพ ความเป็นครอบครัวที่ฉันไม่คาดฝันว่า การทำงานระดับประเทศขนาดนี้คงหาได้ยาก แต่ที่นี่มี ที่นี่ให้ ที่นี่คือครอบครัวหนึ่ง ที่ทุกครั้งที่ฉันไปร่วมงาน ฉันมีพลังที่สามารถกลับมาต่อยอดในงานที่ฉันได้รับมอบหมายทุกครั้ง จนแม่ฉันบอกกับฉันเสมอว่า “ฉัน…คือบุคคลที่โชคดีที่สุดในโลก”

 

 

เสียงเพลงปิดค่ายดังมาจาก หอประชุมสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการปิดค่ายที่ฉันปลื้มปริ่มและแฝงด้วยเรื่องราวน่ารักๆ มากมาย คือค่ายที่เป็นศูนย์รวมความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ทุกคนหันมายิ้มและช่วยกันร้องเพลงด้วยความรักและให้สัญญากันไว้ในใจว่า

“พลังเหล่าเยาวชน ท่วมท้นมากมายมากมี นำมาสรรสร้างสิ่งดี ดี มีเรา มีเขา มีป่า”

 

 

แต่ที่นี่มี ที่นี่ให้ ที่นี่คือครอบครัวหนึ่ง ที่ทุกครั้งที่ฉันไปร่วมงาน ฉันมีพลังที่สามารถกลับมาต่อยอดในงานที่ฉันได้รับมอบหมายทุกครั้ง จนแม่ฉันบอกกับฉันเสมอว่า “ฉัน…คือบุคคลที่โชคดีที่สุดในโลก”

คนเล่าเรื่อง : ครูพี่ละ ปาบีละ เจ๊ะและ (ครูโรงเรียนบ้านแหลมทราย สพป.ภูเก็ต)

 

Leave a Reply